การให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มแรกในกระบวนการพัฒนาระบบอัตโนมัติถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ทีมงานที่วอลโว่ ทรัคส์ทำงานโนโครงการนำร่องเล็กๆ หลายๆ โครงการ ซึ่งต่างก็มีความคืบหน้าในความสำเร็จในขั้นตอนที่หลากหลายแตกต่างกันไป โครงการนำร่องเหล่านี้ช่วยทำให้ทราบว่าโซลูชันหนึ่งๆ สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้หรือไม่ และมีการนำมาทดสอบบนถนนโดยร่วมมือกับลูกค้าที่เรากำลังออกแบบโซลูชันนั้นให้ “เราเรียนรู้ได้เร็วด้วยวิธีแบบการวิ่งระยะสั้นว่า โซลูชันเฉพาะนั้นๆ จะช่วยลูกค้าได้หรือไม่” มิคาเอล คาร์ลสัน กล่าวต่อ “นี่เป็นวิธีการที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเรากำลังพิจารณาที่จะให้เข้ามามีบทบาทในวงกว้างขึ้นในห่วงโซ่แห่งคุณค่า นอกจากการทำงานในโครงการนำร่องเล็กๆ แล้ว เรายังใช้วิธีการเปรียบเทียบ ‘สายรัดข้อมือยาง’ ในการทำให้เราจดจ่อความคิดอยู่กับอนาคต และปล่อยให้โครงการนำร่องชักนำเราไปสู่เป้าหมายของเรา”
กลยุทธ์ระบบอัตโนมัติของวอลโว่ ทรัคส์กำลังได้รับการพัฒนาในสองด้าน ด้านแรก เป็นการนำมาใช้กับพื้นที่ปิดกั้น เช่น เหมือง สวนและท่าเรือเอกชน และด้านที่สอง เป็นการนำมาใช้บนท้องถนน “เราเชื่อว่า จะสามารถบรรลุระดับความเป็นอัตโนมัติได้ในระดับสูงได้ก่อนในพื้นที่ปิดกั้น เนื่องจากพื้นที่ลักษณะนี้มักจะมีระบบการจราจรที่ซับซ้อนน้อยกว่า” ซาสโก คูเคลฟ ผู้อำนวยการฝ่ายโซลูชันลูกค้าและแนวคิดใหม่ กล่าว “การใช้ระบบอัตโนมัติบนถนนสาธารณะมีความซับซ้อนกว่ามาก เนื่องจากพื้นที่ปิดกั้นมักจะเป็นที่ดินส่วนบุคคล ดังนั้น จึงไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัด เราจึงสามารถทดสอบโซลูชันต่างๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อสร้างสรรค์คุณค่าให้เกิดขึ้นมา เราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายจากพื้นที่ปิดกั้นและใช้ข้อมูลในการสร้างสรรค์โซลูชันสำหรับถนนสาธารณะ"
การเน้นให้ความสำคัญกับการทำโครงการนำร่องซึ่งใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปีครึ่ง ย่อมหมายความว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างรวดเร็วและนำไปสู่การเก็บเกี่ยวคุณประโยชน์ เฮเดอร์ โวคิล ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการขับขี่ที่ควบคุมได้ด้วยตัวเองและการขับขี่อัตโนมัติ “งานของเราเป็นเรื่องของการบรรจบกันระหว่างเทคโนโลยีนี้กับคุณประโยชน์สำหรับลูกค้า ในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้น เราพิจารณาจากความต้องการของลูกค้าของเราที่ได้รับการสื่อสารมาจากลูกค้าของพวกเขา เรามุ่งเน้นที่โซลูชันซึ่งสามารถทำงานที่ยาก จำเจ และสิ้นเปลืองเวลาให้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติสามารถนำมาใช้ที่สถานีขนส่งซึ่งมีการบรรทุกและขนถ่ายเป็นจำนวนมาก และยังเป็นจุดที่รถบรรทุกต้องทำการถอยหลังมากๆ อีกด้วย การดำเนินการนี้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ลดความเสียหายของรถบรรทุกให้น้อยลง และเพิ่มเวลาทำงานให้ได้สูงสุด”
